เหตุการณ์นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เมื่ออาจารย์ท่านหนึ่งจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้ตีพิมพ์งานวิจัยที่อ้างว่าสามารถรวมทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและทฤษฎีควอนตัมของไอน์สไตน์เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักฟิสิกส์พยายามค้นหามาหลายสิบปี
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
- อาจารย์ท่านดังกล่าวได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว แสดงความภาคภูมิใจว่าเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถแก้ปัญหาที่แม้แต่ไอน์สไตน์ยังทำไม่สำเร็จ
- งานวิจัยถูกตีพิมพ์ในวารสารด้านฟิสิกส์ดาราศาสตร์
- อาจารย์ด้านฟิสิกส์ท่านหนึ่งได้วิจารณ์งานวิจัยนี้ โดยชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดทางคณิตศาสตร์หลายจุด
การโต้เถียง
การโต้เถียงแบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจน:
-
ฝ่ายเจ้าของผลงาน:
- อ้างว่าผ่านการ peer review จากวารสารที่มีมาตรฐาน
- บอกว่าหากมีข้อผิดพลาดควรแจ้งผ่าน editor ไม่ใช่วิจารณ์บนโซเชียลมีเดีย
- ท้าทายให้ผู้วิจารณ์ทำการถอนบทความภายใน 7 วัน
-
ฝ่ายนักฟิสิกส์:
- ชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดพื้นฐานในสมการและการคำนวณ
- อธิบายว่างานวิจัยมีข้อผิดพลาดร้ายแรงจนไม่สามารถแก้ไขได้
- มีนักฟิสิกส์ระดับโลกออกมาวิจารณ์ว่าเป็น "mathematical rubbish"
จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์
เมื่อเรื่องราวกระจายไปในวงกว้าง เจ้าของผลงานได้เปลี่ยนท่าทีใน Club House โดย:
- ยอมรับว่าตนไม่ใช่นักฟิสิกส์ และอาจมีข้อผิดพลาดได้
- อธิบายว่านี่เป็นเพียงงานอดิเรกที่คิดขึ้นในห้องน้ำ
- แสดงความเต็มใจที่จะรับฟังคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
บทสรุป
สุดท้ายบทความดังกล่าวถูกถอนการตีพิมพ์ แต่เหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้เห็นหลายประเด็นในวงการวิชาการ:
- การตรวจสอบคุณภาพของงานวิจัยก่อนตีพิมพ์
- วิธีการวิจารณ์งานวิชาการอย่างสร้างสรรค์
- ความแตกต่างระหว่างมุมมองของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร
- ความสำคัญของการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ในวงการวิชาการ
เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวงการวิชาการไทย และแสดงให้เห็นว่าการวิพากษ์วิจารณ์ทางวิชาการควรทำอย่างไรจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
Top comments (0)