DEV Community

kimidev
kimidev

Posted on

วิธีดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman บน Mac, Windows, Linux

สุดยอดคู่มือ: วิธีดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman บน Mac, Windows, Linux และทำไมคุณควรพิจารณา Apidog เป็นทางเลือกที่เหนือกว่า

ในโลกของการพัฒนาซอฟต์แวร์และเว็บแอปพลิเคชัน การติดต่อสื่อสารระหว่างส่วนประกอบต่างๆ ของระบบ หรือระหว่างระบบกับผู้ใช้งาน มักจะเกิดขึ้นผ่านสิ่งที่เรียกว่า API (Application Programming Interface) API เปรียบเสมือนช่องทางหรือสัญญาที่กำหนดวิธีการโต้ตอบระหว่างโปรแกรมต่างๆ เพื่อให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ด้วยความสำคัญนี้เอง เครื่องมือที่ช่วยในการพัฒนา ทดสอบ และจัดการ API จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักพัฒนา และ Postman ก็เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมวดหมู่นี้

Postman คือแพลตฟอร์มสำหรับการทำงานกับ API ที่ครอบคลุม มันช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้าง ส่งคำขอ (request) ไปยัง API ต่างๆ ตรวจสอบการตอบกลับ (response) จัดการชุดคำขอ (collections) สร้างเอกสาร API ทดสอบ API อัตโนมัติ และทำงานร่วมกันในทีมได้อย่างสะดวก ความสามารถที่หลากหลายเหล่านี้ทำให้ Postman กลายเป็นเครื่องมือคู่ใจของนักพัฒนาจำนวนมากทั่วโลก ตั้งแต่นักพัฒนามือใหม่ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ ไม่ว่าคุณจะกำลังพัฒนา API ของตัวเอง หรือต้องการเชื่อมต่อกับ API ของบุคคลที่สาม Postman ก็สามารถช่วยให้กระบวนการเหล่านั้นง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้ Postman จะมีคุณสมบัติที่ดีมากมาย แต่ในปัจจุบันก็มีเครื่องมือทางเลือกใหม่ๆ เกิดขึ้น ซึ่งบางตัวก็มาพร้อมกับคุณสมบัติที่น่าสนใจและอาจตอบโจทย์การทำงานในยุคปัจจุบันได้ดียิ่งกว่า หนึ่งในนั้นคือ Apidog ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ก้าวต่อไป: ทำไมคุณควรเปลี่ยนจาก Postman มาใช้ Apidog?

Image description

ก่อนที่เราจะลงลึกในรายละเอียดการติดตั้ง Postman เราขอแนะนำให้คุณได้รู้จักกับ Apidog เครื่องมือยุคใหม่ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปฏิวัติวงการพัฒนา API อย่างแท้จริง Apidog ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือทดสอบ API แต่เป็นแพลตฟอร์มครบวงจรที่รวมเอาการออกแบบ (Design), การพัฒนา (Develop), การทดสอบ (Test), และการสร้างเอกสาร (Document) API ไว้ในที่เดียวอย่างลงตัว

Apidog เหนือกว่า Postman อย่างไร?

  1. บูรณาการที่สมบูรณ์แบบ: ขณะที่ Postman อาจต้องใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ หรือมีการเชื่อมต่อที่ซับซ้อนเพื่อให้ครอบคลุมทุกขั้นตอน Apidog ได้รวมทุกอย่างไว้ในแพลตฟอร์มเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ ลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและข้อมูล ทำให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คุณสามารถออกแบบ API, สร้าง mock server, ทดสอบ, และสร้างเอกสารได้โดยไม่ต้องสลับโปรแกรม
  2. เน้นการออกแบบเป็นศูนย์กลาง (Design-First Approach): Apidog ส่งเสริมแนวทางการออกแบบ API ก่อนเริ่มเขียนโค้ดจริง ช่วยให้มั่นใจได้ว่า API ที่สร้างขึ้นนั้นตรงตามความต้องการ มีโครงสร้างที่ดี และง่ายต่อการใช้งาน การเปลี่ยนแปลงการออกแบบใน Apidog จะสะท้อนไปยังส่วนทดสอบและเอกสารโดยอัตโนมัติ
  3. การสร้าง Mock Server อัจฉริยะ: Apidog มีความสามารถในการสร้าง mock server ที่ทรงพลังและยืดหยุ่นกว่า Postman มาก คุณสามารถสร้างข้อมูลจำลอง (mock data) ตาม schema ที่กำหนดได้อย่างง่ายดาย รวมถึงการจำลองสถานการณ์ต่างๆ เช่น การตอบสนองที่ล่าช้า หรือ error codes เพื่อให้การทดสอบครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
  4. การจัดการข้อมูล (Data Management) ที่ดีกว่า: Apidog มีระบบจัดการสภาพแวดล้อม (environments) และตัวแปร (variables) ที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ ทำให้การจัดการข้อมูลสำหรับ API ต่างๆ หรือระหว่างขั้นตอนการพัฒนา (development, staging, production) เป็นเรื่องง่าย
  5. การทำงานร่วมกันในทีม (Team Collaboration) ที่เหนือกว่า: Apidog ถูกสร้างขึ้นโดยคำนึงถึงการทำงานเป็นทีมเป็นหลัก มีฟีเจอร์การแชร์ API, การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง, และการซิงโครไนซ์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้ทุกคนในทีมเห็นภาพเดียวกันและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  6. User Interface (UI) ที่ทันสมัยและใช้งานง่าย: Apidog มาพร้อมกับ UI ที่สะอาดตา ทันสมัย และออกแบบมาให้ใช้งานง่าย แม้จะมีฟังก์ชันที่ซับซ้อน แต่ผู้ใช้ก็สามารถเรียนรู้และเริ่มต้นใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
  7. ประสิทธิภาพและความเร็ว: ผู้ใช้หลายคนรายงานว่า Apidog มีประสิทธิภาพในการทำงานที่รวดเร็วกว่า โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับโปรเจกต์ API ขนาดใหญ่

แม้ว่า Postman จะเป็นเครื่องมือที่ดีและมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา API มาอย่างยาวนาน แต่ Apidog ก็ได้นำเสนอแนวทางที่ทันสมัยและครบวงจรยิ่งกว่า หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยยกระดับกระบวนการพัฒนา API ของคุณให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความซับซ้อน และส่งเสริมการทำงานร่วมกันในทีม Apidog คือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม

อย่างไรก็ตาม บทความนี้จะยังคงให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman สำหรับผู้ที่ยังต้องการใช้งานหรือเรียนรู้เครื่องมือนี้ แต่เราขอแนะนำให้คุณเปิดใจและลองพิจารณา Apidog เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในอนาคต

การดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman บน Windows

การติดตั้ง Postman บนระบบปฏิบัติการ Windows นั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา โดยทั่วไปแล้ว Postman จะรองรับ Windows เวอร์ชันใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี (เช่น Windows 10, Windows 11 ทั้งแบบ 32-bit และ 64-bit)

ขั้นตอนที่ 1: ดาวน์โหลดโปรแกรมติดตั้ง Postman

  1. เปิดเว็บเบราว์เซอร์ที่คุณใช้งานเป็นประจำ (เช่น Google Chrome, Firefox, Microsoft Edge)
  2. ไปที่เว็บไซต์ทางการของ Postman (โดยปกติคุณสามารถค้นหา "Download Postman" ผ่านเครื่องมือค้นหาเพื่อเข้าถึงหน้าดาวน์โหลดหลัก)
  3. บนหน้าดาวน์โหลด เว็บไซต์มักจะตรวจจับระบบปฏิบัติการของคุณโดยอัตโนมัติและแนะนำเวอร์ชันที่เหมาะสม หากไม่เป็นเช่นนั้น ให้มองหาส่วนดาวน์โหลดสำหรับ Windows
  4. คุณจะเห็นตัวเลือกให้ดาวน์โหลดสำหรับ Windows แบบ 32-bit และ 64-bit หากคุณไม่แน่ใจว่าระบบของคุณเป็นแบบใด โดยทั่วไปคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ มักจะเป็น 64-bit คุณสามารถตรวจสอบได้โดยการคลิกขวาที่ "This PC" หรือ "My Computer" แล้วเลือก "Properties" เพื่อดู System type
  5. คลิกที่ปุ่มดาวน์โหลดสำหรับเวอร์ชัน Windows ที่ถูกต้อง ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจะเป็นไฟล์ .exe (เช่น Postman-win64-Setup.exe)
  6. รอจนกระทั่งการดาวน์โหลดเสร็จสมบูรณ์ ขนาดไฟล์อาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับเวอร์ชันล่าสุด

ขั้นตอนที่ 2: ติดตั้ง Postman

  1. เมื่อดาวน์โหลดไฟล์ .exe เสร็จสิ้น ให้ไปที่โฟลเดอร์ที่คุณบันทึกไฟล์ไว้ (โดยทั่วไปคือโฟลเดอร์ "Downloads")
  2. ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ติดตั้ง Postman (เช่น Postman-win64-Setup.exe) เพื่อเริ่มกระบวนการติดตั้ง
  3. อาจมีหน้าต่าง User Account Control (UAC) ปรากฏขึ้นเพื่อขออนุญาตให้โปรแกรมทำการเปลี่ยนแปลงในคอมพิวเตอร์ของคุณ ให้คลิก "Yes" เพื่อดำเนินการต่อ
  4. ตัวติดตั้ง Postman จะเริ่มทำงาน โดยส่วนใหญ่แล้ว Postman จะติดตั้งโดยอัตโนมัติในตำแหน่งเริ่มต้น (user's AppData folder) และอาจไม่ได้มีตัวเลือกให้ปรับแต่งการติดตั้งมากนักในเวอร์ชันปัจจุบัน กระบวนการนี้อาจใช้เวลาสักครู่
  5. เมื่อการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ โปรแกรม Postman อาจจะเปิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ หรืออาจมีไอคอน Postman ปรากฏขึ้นบน Desktop หรือใน Start Menu ของคุณ

ขั้นตอนที่ 3: การตรวจสอบการติดตั้งและเปิดใช้งานครั้งแรก

  1. หาก Postman ไม่ได้เปิดขึ้นมาอัตโนมัติหลังจากการติดตั้ง ให้มองหาไอคอน Postman บน Desktop ของคุณ หรือค้นหา "Postman" ใน Start Menu แล้วคลิกเพื่อเปิดโปรแกรม
  2. ในการเปิดใช้งานครั้งแรก Postman อาจแสดงหน้าจอ Welcome screen หรือหน้าจอให้คุณสร้างบัญชี Postman หรือลงชื่อเข้าใช้หากคุณมีบัญชีอยู่แล้ว
    • การสร้างบัญชี Postman (แนะนำ): การสร้างบัญชีจะช่วยให้คุณสามารถซิงโครไนซ์ Collections, Environments, และข้อมูลอื่นๆ ของคุณข้ามอุปกรณ์ต่างๆ และยังสามารถทำงานร่วมกับทีมได้ง่ายขึ้น คุณสามารถสร้างบัญชีโดยใช้อีเมล หรือลงชื่อเข้าใช้ผ่าน Google account
    • ข้ามการสร้างบัญชี (Skip and go to the app): หากคุณยังไม่ต้องการสร้างบัญชี หรือต้องการทดลองใช้งานดูก่อน คุณสามารถเลือกที่จะข้ามขั้นตอนนี้ไปก่อนได้ (มองหาตัวเลือก "Skip and go to the app" หรือข้อความที่คล้ายกัน) อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์บางอย่างอาจถูกจำกัดหากไม่ได้ลงชื่อเข้าใช้
  3. หลังจากผ่านขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ (หรือข้ามไป) คุณจะเข้าสู่หน้าต่างหลักของ Postman ซึ่งพร้อมให้คุณเริ่มทำงานกับ API ได้

หากคุณทำตามขั้นตอนเหล่านี้ได้สำเร็จ แสดงว่าคุณได้ติดตั้ง Postman บนเครื่อง Windows ของคุณเรียบร้อยแล้ว หากพบปัญหาระหว่างการติดตั้ง เช่น ไฟล์ดาวน์โหลดเสียหาย ให้ลองดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งใหม่อีกครั้ง หรือตรวจสอบว่ามีโปรแกรมป้องกันไวรัสบล็อกการติดตั้งหรือไม่

การดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman บน macOS

การติดตั้ง Postman บน macOS ก็เป็นกระบวนการที่ง่ายและไม่ซับซ้อนเช่นกัน โดยทั่วไป Postman จะรองรับ macOS เวอร์ชันล่าสุดและเวอร์ชันก่อนหน้าหลายรุ่น

ขั้นตอนที่ 1: ดาวน์โหลดโปรแกรม Postman สำหรับ macOS

  1. เปิดเว็บเบราว์เซอร์ที่คุณชื่นชอบบน Mac ของคุณ (เช่น Safari, Google Chrome)
  2. ไปที่เว็บไซต์ทางการของ Postman เพื่อดาวน์โหลดโปรแกรม (ค้นหา "Download Postman" เพื่อไปยังหน้าดาวน์โหลด)
  3. โดยปกติ เว็บไซต์จะตรวจจับว่าคุณกำลังใช้งาน macOS และจะแสดงลิงก์ดาวน์โหลดสำหรับ Mac โดยอัตโนมัติ มองหาปุ่มดาวน์โหลดสำหรับ "macOS" หรือ "Mac"
  4. Postman สำหรับ macOS มักจะมีให้เลือกสำหรับสถาปัตยกรรมของชิป Mac:
    • Intel chip: สำหรับ Mac รุ่นเก่าที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel
    • Apple Silicon (M1, M2, etc.): สำหรับ Mac รุ่นใหม่ที่ใช้ชิป Apple Silicon เว็บไซต์อาจตรวจจับให้คุณ หรือคุณอาจต้องเลือกเอง หากไม่แน่ใจ สามารถตรวจสอบได้โดยคลิกที่โลโก้ Apple ที่มุมซ้ายบนของหน้าจอ > About This Mac > Overview เพื่อดูประเภท Chip หรือ Processor
  5. คลิกที่ลิงก์ดาวน์โหลดที่ตรงกับประเภทชิปของ Mac คุณ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจะเป็นไฟล์ .zip (เช่น Postman-osx-x64.zip สำหรับ Intel หรือ Postman-osx-arm64.zip สำหรับ Apple Silicon) หรือบางครั้งอาจเป็นไฟล์ .dmg โดยตรง
  6. รอให้การดาวน์โหลดเสร็จสิ้น

ขั้นตอนที่ 2: ติดตั้ง Postman บน macOS

  1. เมื่อดาวน์โหลดไฟล์เสร็จสิ้น ให้ไปที่โฟลเดอร์ "Downloads" (หรือตำแหน่งที่คุณบันทึกไฟล์ไว้)
  2. หากเป็นไฟล์ .zip: ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ .zip เพื่อแตกไฟล์ (Archive Utility ของ macOS จะจัดการให้โดยอัตโนมัติ) คุณจะได้ไฟล์แอปพลิเคชัน Postman (เช่น Postman.app)
  3. หากเป็นไฟล์ .dmg: ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ .dmg เพื่อเปิด disk image หน้าต่างใหม่จะปรากฏขึ้น ซึ่งมักจะมีไอคอน Postman.app และ shortcut ไปยังโฟลเดอร์ Applications
  4. การติดตั้ง: ลากไอคอน Postman.app ไปยังโฟลเดอร์ "Applications" ของคุณ การทำเช่นนี้เป็นการติดตั้งโปรแกรม Postman ลงในเครื่อง Mac ของคุณ
  5. หลังจากคัดลอกไฟล์ไปยังโฟลเดอร์ Applications เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถ Eject disk image (หากคุณเปิดจากไฟล์ .dmg) โดยคลิกขวาที่ไอคอน disk image ใน Finder sidebar แล้วเลือก "Eject"

ขั้นตอนที่ 3: การตรวจสอบการติดตั้งและเปิดใช้งานครั้งแรก

  1. เปิด "Finder" แล้วไปที่โฟลเดอร์ "Applications"
  2. มองหาไอคอน Postman แล้วดับเบิลคลิกเพื่อเปิดโปรแกรม
  3. ในครั้งแรกที่คุณเปิดแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต macOS อาจแสดงคำเตือนความปลอดภัยว่า "Postman is an app downloaded from the Internet. Are you sure you want to open it?" ให้คลิก "Open" เพื่อดำเนินการต่อ
  4. เช่นเดียวกับบน Windows, Postman จะแสดงหน้าจอ Welcome หรือหน้าจอให้คุณสร้างบัญชี Postman หรือลงชื่อเข้าใช้
    • พิจารณาสร้างบัญชีเพื่อประโยชน์ในการซิงโครไนซ์และการทำงานร่วมกัน หรือเลือก "Skip and go to the app" หากต้องการใช้งานทันทีโดยยังไม่สร้างบัญชี
  5. เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้ว คุณจะเข้าสู่หน้าต่างหลักของ Postman และพร้อมใช้งาน

หากทำตามขั้นตอนเหล่านี้ Postman ก็พร้อมใช้งานบน Mac ของคุณแล้ว ถ้าหากมีปัญหาในการเปิด เช่น "app is damaged and can’t be opened" อาจลองตรวจสอบการตั้งค่า Security & Privacy ใน System Settings (หรือ System Preferences) เพื่ออนุญาตแอปที่ดาวน์โหลดมาจาก "App Store and identified developers" หรือลองดาวน์โหลดไฟล์ติดตั้งใหม่อีกครั้ง

การดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman บน Linux

การติดตั้ง Postman บน Linux มีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับ Linux distribution ที่คุณใช้และความสะดวกของคุณ โดยทั่วไป Postman จะมีเวอร์ชันสำหรับสถาปัตยกรรม 64-bit (x64)

วิธีที่ 1: ติดตั้งผ่าน Snap (แนะนำสำหรับ Distribution ที่รองรับ)

Snap เป็นระบบ package management ที่พัฒนาโดย Canonical (ผู้สร้าง Ubuntu) ซึ่งช่วยให้การติดตั้งและอัปเดตซอฟต์แวร์เป็นเรื่องง่ายบน Linux distributions ต่างๆ ที่รองรับ Snap (เช่น Ubuntu, Debian, Fedora, Arch Linux และอื่นๆ)

  1. ตรวจสอบว่า Snap ติดตั้งอยู่หรือไม่:
    เปิด Terminal แล้วพิมพ์คำสั่ง:

    snap version
    

    หากคำสั่งนี้แสดงเวอร์ชันของ snapd, snap, และอื่นๆ แสดงว่า Snap ติดตั้งอยู่แล้ว หากไม่พบคำสั่ง คุณจะต้องติดตั้ง Snap ก่อน (ดูวิธีการติดตั้ง Snap สำหรับ distribution ของคุณได้จากเว็บไซต์ทางการของ Snapcraft)

  2. ติดตั้ง Postman ผ่าน Snap:
    ใน Terminal พิมพ์คำสั่ง:

    sudo snap install postman
    

    ระบบจะขอรหัสผ่านผู้ดูแลระบบ (root password) ของคุณ ป้อนรหัสผ่านแล้วกด Enter Snap จะดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman เวอร์ชันล่าสุดโดยอัตโนมัติ

  3. เปิดใช้งาน Postman:
    หลังจากติดตั้งเสร็จ คุณสามารถเปิด Postman ได้จาก Application Menu ของ Desktop Environment ของคุณ หรือพิมพ์คำสั่ง postman ใน Terminal

วิธีที่ 2: ติดตั้งโดยใช้ไฟล์ Tarball (tar.gz)

วิธีนี้เป็นวิธีที่ค่อนข้างเป็นสากลและใช้ได้กับ Linux distribution ส่วนใหญ่

  1. ดาวน์โหลด Postman Tarball:
  * เปิดเว็บเบราว์เซอร์บน Linux ของคุณ
  * ไปที่หน้าดาวน์โหลดของ Postman (ค้นหา "Download Postman")
  * มองหาลิงก์ดาวน์โหลดสำหรับ Linux โดยปกติจะเป็นไฟล์ `.tar.gz` สำหรับสถาปัตยกรรม 64-bit (เช่น `Postman-linux-x64.tar.gz`)
  * คลิกเพื่อดาวน์โหลดไฟล์ และบันทึกไว้ในตำแหน่งที่คุณต้องการ (เช่น โฟลเดอร์ `~/Downloads`)
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. แตกไฟล์ Tarball:
  * เปิด Terminal
  * ไปที่ไดเรกทอรีที่คุณดาวน์โหลดไฟล์ไว้ ตัวอย่างเช่น:
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```bash
    cd ~/Downloads
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  * แตกไฟล์ `.tar.gz` โดยใช้คำสั่ง `tar`. โดยทั่วไปแนะนำให้แตกไฟล์ไปยังไดเรกทอรี `/opt` (สำหรับซอฟต์แวร์เสริม) หรือ `~/opt` หรือ `~/.local/share` (สำหรับผู้ใช้ปัจจุบัน) เพื่อความเป็นระเบียบ
    ตัวอย่างการแตกไฟล์ไปยัง `/opt/Postman` (อาจต้องใช้ `sudo`):
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```bash
    sudo tar -xzf Postman-linux-x64.tar.gz -C /opt
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    หรือแตกไฟล์ไปยังไดเรกทอรีภายใน home ของคุณ (ไม่ต้องใช้ `sudo`):
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```bash
    mkdir -p ~/Applications/Postman
    tar -xzf Postman-linux-x64.tar.gz -C ~/Applications/Postman --strip-components=1
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    (คำสั่ง `--strip-components=1` จะช่วยลบโฟลเดอร์ชั้นบนสุดที่มักจะชื่อ `Postman` ออกไป ทำให้ไฟล์ต่างๆ อยู่ใน `~/Applications/Postman` โดยตรง)
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. สร้าง Symbolic Link (Optional but Recommended):
    เพื่อให้สามารถเรียกใช้ Postman จากที่ใดก็ได้ใน Terminal คุณสามารถสร้าง symbolic link ไปยังไฟล์ εκτελέσιμο (executable) ของ Postman ที่อยู่ในไดเรกทอรี /usr/local/bin หรือ ~/.local/bin
    หากคุณแตกไฟล์ไปที่ /opt/Postman:

    sudo ln -s /opt/Postman/Postman /usr/local/bin/postman
    

    หากคุณแตกไฟล์ไปที่ ~/Applications/Postman:

    mkdir -p ~/.local/bin
    ln -s ~/Applications/Postman/Postman ~/.local/bin/postman
    

    (ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ~/.local/bin อยู่ใน PATH ของคุณ)

  2. สร้าง Desktop Entry (Optional but Recommended for GUI access):
    เพื่อให้สามารถเปิด Postman จาก Application Menu ของ Desktop Environment ของคุณได้ คุณจะต้องสร้างไฟล์ .desktop

  * สร้างไฟล์ชื่อ `postman.desktop` ใน `~/.local/share/applications/` (สำหรับผู้ใช้ปัจจุบัน) หรือใน `/usr/share/applications/` (สำหรับผู้ใช้ทุกคน, ต้องใช้ `sudo`)
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```bash
    nano ~/.local/share/applications/postman.desktop
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  * ใส่เนื้อหาต่อไปนี้ลงในไฟล์ (แก้ไข `Exec` และ `Icon` path ให้ตรงกับตำแหน่งที่คุณติดตั้ง Postman):
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```ini
    [Desktop Entry]
    Name=Postman
    GenericName=API Client
    Comment=Develop, test, document, and monitor APIs
    Exec=/opt/Postman/Postman %U  # หรือ ~/Applications/Postman/Postman %U
    Icon=/opt/Postman/app/resources/app/assets/icon.png # หรือ ~/Applications/Postman/app/resources/app/assets/icon.png
    Terminal=false
    Type=Application
    Categories=Development;Network;
    StartupWMClass=Postman
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  * บันทึกไฟล์ (Ctrl+O แล้ว Enter ใน nano, Ctrl+X เพื่อออก)
  * คุณอาจต้องอัปเดต desktop database:
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```bash
    update-desktop-database ~/.local/share/applications
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. เปิดใช้งาน Postman:
  * หากคุณสร้าง symbolic link: พิมพ์ `postman` ใน Terminal
  * หากคุณสร้าง desktop entry: ค้นหา Postman ใน Application Menu ของคุณ
  * หรือไปที่ไดเรกทอรีที่คุณแตกไฟล์ Postman แล้วรันไฟล์ εκτελέσιμο โดยตรง:
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```bash
    /opt/Postman/Postman
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    หรือ
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
    ```bash
    ~/Applications/Postman/Postman
    ```
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode

ขั้นตอนที่ 4: การตรวจสอบการติดตั้งและเปิดใช้งานครั้งแรก (สำหรับทุกวิธี)

  1. เมื่อเปิด Postman ขึ้นมาครั้งแรก (ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด) คุณจะพบกับหน้าจอ Welcome หรือหน้าจอให้ลงชื่อเข้าใช้/สร้างบัญชี เช่นเดียวกับบน Windows และ macOS
  2. ดำเนินการตามขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้หรือข้ามไปเพื่อเข้าสู่หน้าต่างหลักของ Postman

การติดตั้งบน Linux อาจมีขั้นตอนที่ซับซ้อนกว่าเล็กน้อยหากคุณเลือกใช้วิธี tarball แต่ก็ให้ความยืดหยุ่นมากกว่า วิธี Snap นั้นง่ายที่สุดหาก distribution ของคุณรองรับ

การตั้งค่าเบื้องต้นและการใช้งาน Postman ครั้งแรก (ภาพรวมโดยย่อ)

หลังจากที่คุณติดตั้ง Postman และเปิดโปรแกรมขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว มาดูภาพรวมคร่าวๆ ของการตั้งค่าเบื้องต้นและการใช้งาน:

  1. หน้าจอหลัก (Workspace):
    เมื่อเข้าสู่ Postman คุณจะพบกับหน้าจอหลักหรือ "Workspace" ที่นี่คือพื้นที่ทำงานของคุณ คุณสามารถสร้าง workspace ใหม่สำหรับแต่ละโปรเจกต์ หรือใช้ workspace เริ่มต้นได้ Workspace ช่วยจัดระเบียบ Collections, Environments, และงานอื่นๆ ของคุณ

  2. การสร้างคำขอ (Request) แรก:

  * โดยทั่วไป Postman จะมีแท็บ "Untitled Request" เปิดรออยู่ หรือคุณสามารถคลิกที่เครื่องหมาย `+` เพื่อเปิดแท็บใหม่สำหรับสร้างคำขอ
  * **เลือก HTTP Method:** ที่ด้านซ้ายของช่อง URL คุณจะเห็นเมนู drop-down ให้เลือก HTTP method (เช่น GET, POST, PUT, DELETE, etc.) สำหรับการทดสอบเบื้องต้น ให้เลือก `GET`
  * **ป้อน URL:** ในช่อง "Enter request URL" ให้ป้อน URL ของ API ที่คุณต้องการทดสอบ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถใช้ API สาธารณะสำหรับการทดสอบ เช่น `https://jsonplaceholder.typicode.com/todos/1` (ซึ่งจะคืนค่าข้อมูล to-do รายการที่ 1)
  * **การส่งคำขอ:** คลิกที่ปุ่ม "Send" สีฟ้าขนาดใหญ่
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. การดูการตอบกลับ (Response):
  * หลังจากที่คุณกด "Send" Postman จะส่งคำขอไปยัง URL ที่ระบุ และจะแสดงผลการตอบกลับที่ได้รับในส่วนด้านล่างของหน้าต่าง
  * **Body:** แท็บ "Body" จะแสดงข้อมูลหลักที่ API ส่งกลับมา ซึ่งอาจเป็น JSON, XML, HTML, Text ฯลฯ คุณสามารถดูในรูปแบบ Pretty (จัดสวยงาม), Raw, หรือ Preview
  * **Headers:** แท็บ "Headers" จะแสดง HTTP headers ที่มากับการตอบกลับ
  * **Status Code:** ที่ด้านขวาของปุ่ม Send (หรือใกล้ๆ กับผลลัพธ์) คุณจะเห็น Status Code ของการตอบกลับ (เช่น `200 OK`, `404 Not Found`, `500 Internal Server Error`) ซึ่งบอกสถานะของคำขอ
  * **Time:** เวลาที่ใช้ในการตอบกลับ
  * **Size:** ขนาดของข้อมูลที่ตอบกลับ
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. การทำงานกับ Collections:
  * Collections คือกลุ่มของคำขอที่เกี่ยวข้องกัน ช่วยให้คุณจัดระเบียบ API endpoints ของโปรเจกต์ได้
  * คุณสามารถบันทึกคำขอที่คุณสร้างขึ้นลงใน Collection โดยคลิกที่ปุ่ม "Save" (ข้างๆ ปุ่ม Send) แล้วเลือก Collection ที่มีอยู่ หรือสร้าง Collection ใหม่
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. การใช้ Environments:
  * Environments ช่วยให้คุณจัดการตัวแปร (variables) ที่ใช้บ่อยๆ เช่น base URLs, authentication tokens, หรือ API keys สำหรับสภาพแวดล้อมต่างๆ (เช่น development, staging, production)
  * คุณสามารถสร้าง Environment ใหม่ได้จากไอคอนรูปตา (Environment quick look) หรือจากเมนู "Environments" ทางด้านซ้าย
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode

นี่เป็นเพียงการใช้งานพื้นฐานเบื้องต้นของ Postman เท่านั้น เครื่องมือนี้มีความสามารถอีกมากมาย เช่น การเขียน Test Scripts, การจัดการ Authorization, การทำงานกับ Cookies, การสร้าง Mock Servers (แม้จะไม่เท่า Apidog), และการทำงานร่วมกันในทีม

เจาะลึก Apidog: ทำไมถึงเป็นทางเลือกที่เหนือกว่า Postman อย่างแท้จริง

ถึงจุดนี้ คุณน่าจะพอเข้าใจวิธีการติดตั้งและใช้งาน Postman เบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ดังที่เราได้กล่าวไปในตอนต้น มีเครื่องมือใหม่ที่น่าสนใจกว่าอย่าง Apidog ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาและข้อจำกัดหลายอย่างที่นักพัฒนาอาจพบเจอเมื่อใช้เครื่องมือรุ่นเก่า รวมถึง Postman

Apidog: นิยามใหม่ของแพลตฟอร์มพัฒนา API แบบครบวงจร

Apidog ไม่ได้เป็นเพียง "อีกหนึ่ง" เครื่องมือทดสอบ API แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ผสานรวมขั้นตอนสำคัญทั้งหมดของการพัฒนา API เข้าด้วยกันอย่างลงตัว ตั้งแต่การออกแบบ, การพัฒนา, การทดสอบ, การสร้างเอกสาร, ไปจนถึงการจำลอง API (Mocking) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมเดียวที่ใช้งานง่ายและส่งเสริมการทำงานร่วมกันในทีมอย่างแท้จริง

เหตุผลที่ Apidog โดดเด่นและเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า Postman:

  1. การบูรณาการที่ไร้รอยต่อ (Seamless Integration):
  * **Postman:** มักจะต้องอาศัยการทำงานร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ (เช่น Swagger/OpenAPI Editor สำหรับการออกแบบ, แยกเครื่องมือ Mocking, หรือระบบจัดการเอกสารภายนอก) ซึ่งอาจนำไปสู่ความซ้ำซ้อนของข้อมูลและความไม่สอดคล้องกัน
  * **Apidog:** รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว:
      * **API Design:** ออกแบบ API ด้วย Visual Editor หรือนำเข้าจาก OpenAPI/Swagger โดยการเปลี่ยนแปลงการออกแบบจะสะท้อนไปยังส่วนอื่นๆ (เช่น Test Cases, Documentation) โดยอัตโนมัติ
      * **API Development & Debugging:** เหมือนกับ Postman คุณสามารถส่งคำขอ HTTP, ดูการตอบกลับ, และดีบัก API ได้ แต่ด้วย UI ที่อาจจะใช้งานง่ายกว่าสำหรับบางคน
      * **API Testing (Automated):** สร้าง Test Cases, เขียน Assertions, และรัน Automated Tests ได้อย่างง่ายดาย มีระบบ Test Suites และ Test Plans ที่ครอบคลุม
      * **API Mocking อัจฉริยะ:** สร้าง Mock Server จาก API Design ได้ในคลิกเดียว Apidog มีความสามารถในการสร้างข้อมูล Mock ที่ยืดหยุ่นและสมจริงตาม Schema ที่กำหนด (เช่น Faker.js integration) สามารถจำลองเงื่อนไขต่างๆ ได้หลากหลายกว่า Postman
      * **API Documentation:** สร้างเอกสาร API ที่สวยงามและโต้ตอบได้ (Interactive) โดยอัตโนมัติจาก API Design เอกสารจะอัปเดตตามการเปลี่ยนแปลงเสมอ ลดภาระในการดูแลรักษาเอกสาร
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. แนวทาง Design-First ที่แข็งแกร่ง:
  * **Postman:** แม้จะรองรับการนำเข้า OpenAPI แต่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือ Design-First โดยธรรมชาติ
  * **Apidog:** ส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับแนวทาง Design-First อย่างเต็มที่ ช่วยให้ทีมกำหนด "สัญญา" (API Contract) ที่ชัดเจนก่อนเริ่มเขียนโค้ด ลดข้อผิดพลาดและความเข้าใจที่ไม่ตรงกันในภายหลัง
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. ความสามารถในการ Mock API ที่เหนือชั้น:
  * **Postman:** มีฟีเจอร์ Mock Server แต่ค่อนข้างพื้นฐานและอาจต้องตั้งค่าด้วยตนเองค่อนข้างเยอะ
  * **Apidog:** Mock Server ใน Apidog ทรงพลังกว่ามาก:
      * **สร้าง Mock ตาม Schema:** สร้างข้อมูลจำลองที่ตรงตาม Data Types และ Constraints ที่กำหนดใน API Design
      * **Expectations:** กำหนด Mock Expectations ที่ซับซ้อนได้ เช่น การตอบกลับที่แตกต่างกันตาม Parameters หรือ Headers ที่ส่งมา
      * **Fuzzy Matching:** รองรับการจับคู่ URL แบบยืดหยุ่น
      * **No Coding Required (ส่วนใหญ่):** สร้าง Mock ได้ง่ายๆ ผ่าน UI
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. การจัดการข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้น:
  * **Postman:** มี Environments และ Variables แต่การจัดการอาจจะดูซับซ้อนสำหรับบางโปรเจกต์
  * **Apidog:** มีระบบจัดการ Environments, Global Variables, และ Folder Variables ที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพกว่า มีการแบ่ง Service (เช่น microservices) และการจัดการ URL ที่ยืดหยุ่น
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. ประสบการณ์การใช้งาน (User Experience - UX) และส่วนติดต่อผู้ใช้ (User Interface - UI):
  * **Postman:** UI เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นตามฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา อาจดูรกและใช้งานยากสำหรับผู้เริ่มต้น
  * **Apidog:** มาพร้อมกับ UI ที่ทันสมัย สะอาดตา และออกแบบมาให้ใช้งานง่าย (Intuitive) แม้จะมีฟังก์ชันที่หลากหลาย แต่ก็จัดเรียงได้อย่างเป็นระเบียบ ทำให้เรียนรู้และใช้งานได้เร็วกว่า
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. การทำงานร่วมกันในทีม (Team Collaboration) ที่ออกแบบมาเพื่ออนาคต:
  * **Postman:** มีฟีเจอร์ Team Workspaces แต่บางครั้งการซิงโครไนซ์และการจัดการสิทธิ์อาจจะยังไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
  * **Apidog:** ถูกสร้างขึ้นโดยเน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมตั้งแต่แรก:
      * **Real-time Sync:** ข้อมูล API, Tests, Mocks, Docs จะซิงค์กันแบบเรียลไทม์สำหรับทุกคนในทีม
      * **Role-Based Access Control:** กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลได้อย่างละเอียด
      * **Project & Team Management:** เครื่องมือจัดการโปรเจกต์และทีมที่ใช้งานง่าย
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. ประสิทธิภาพ (Performance):
  * ผู้ใช้หลายคนรายงานว่า Apidog ทำงานได้รวดเร็วและตอบสนองได้ดีกว่า Postman โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับ API จำนวนมาก หรือโปรเจกต์ขนาดใหญ่
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode
  1. การสร้าง Test Case และ Automation ที่ง่ายกว่า:
  * **Apidog:** มี Interface สำหรับสร้าง Test Case ที่ใช้งานง่ายกว่า สามารถลาก-วางขั้นตอนการทดสอบ กำหนด Assertions จาก UI และสร้าง Data-Driven Tests ได้สะดวก การเชื่อมโยง Test Case กับ API Design ทำได้โดยตรง
Enter fullscreen mode Exit fullscreen mode

Apidog ไม่ได้มาแทนที่ Postman แต่มาเพื่อยกระดับ:

การตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือขึ้นอยู่กับความต้องการและบริบทของแต่ละโปรเจกต์หรือองค์กร Postman ยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและมีชุมชนผู้ใช้ขนาดใหญ่ แต่ถ้าคุณกำลังมองหาโซลูชันที่ครบวงจร ทันสมัย และช่วยให้ทีมของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการพัฒนา API ตั้งแต่ต้นจนจบ Apidog คือตัวเลือกที่ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง มันช่วยลดความจำเป็นในการใช้เครื่องมือหลายตัว ลดความซับซ้อนในการทำงาน และทำให้มั่นใจได้ว่าทุกส่วนของกระบวนการพัฒนา API สอดคล้องกัน

สรุป

Postman ได้เป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับนักพัฒนา API มาเป็นเวลานาน และยังคงมีประโยชน์อย่างมากในการทดสอบและดีบัก API การดาวน์โหลดและติดตั้ง Postman บน Windows, macOS, หรือ Linux นั้นสามารถทำได้ไม่ยากตามขั้นตอนที่ได้อธิบายไปข้างต้น

อย่างไรก็ตาม โลกของเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง การเกิดขึ้นของ Apidog ได้นำเสนอทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยการเป็นแพลตฟอร์มที่บูรณาการการออกแบบ, พัฒนา, ทดสอบ, สร้างเอกสาร, และจำลอง API ไว้ในที่เดียว Apidog ช่วยลดความซับซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ และส่งเสริมการทำงานร่วมกันในทีมได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หากคุณต้องการยกระดับกระบวนการพัฒนา API ของคุณให้ก้าวไปอีกขั้น การลองใช้ Apidog อาจเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า

ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้เครื่องมือใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณและทีม ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ

Top comments (0)