DEV Community

Cover image for จากไม่มีบ้านสู่การสร้างบ้านให้คนทั้งประเทศ: บทเรียนธุรกิจและชีวิตจาก CK
Passakon Puttasuwan
Passakon Puttasuwan

Posted on

จากไม่มีบ้านสู่การสร้างบ้านให้คนทั้งประเทศ: บทเรียนธุรกิจและชีวิตจาก CK

Credit: พันล้านก็ซื้อ CK ไม่ได้ ! เมื่อวิสัยทัศน์ Fastwork ยิ่งใหญ่กว่า

การสัมภาษณ์ครั้งนี้เปิดเผยมุมมองที่น่าสนใจจาก CK ซีอีโอของ FastWork ที่มีเป้าหมายทะเยอทะยานในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อฟรีแลนซ์กับลูกค้า การสัมภาษณ์นี้นำเสนอแนวคิดที่ท้าทายความคิดดั้งเดิมหลายประการ แต่ก็มาพร้อมกับข้อควรพิจารณาที่สำคัญ

วิสัยทัศน์ขนาดยักษ์: เป้าหมายที่ไกลกว่าธุรกิจ

CK ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงผู้ประกอบการธรรมดา เขาตั้งเป้าให้ FastWork กลายเป็นบริษัทที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายชัดเจน:

เป้าหมายเชิงตัวเลข

  • สร้างงานให้ 5-6 ล้านคน ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า
  • สร้างรายได้ให้คนไทยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบัน และคาดว่าจะเติบโตเป็น 7,000-10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี
  • เป็นแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมทุกบริการ ไม่ใช่แค่งานเฉพาะด้าน

ความแตกต่างจากธุรกิจทั่วไป

ในขณะที่บริษัทอื่นมีพนักงาน 20,000-300,000 คน CK มองว่า FastWork จะมี "ฟรีแลนซ์" หลายล้านคน ทำให้มี scalability ที่ไม่มีขีดจำกัด นี่คือความแตกต่างสำคัญที่ทำให้เขามั่นใจว่าจะเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

การวิเคราะห์: แนวคิดนี้สะท้อนความเข้าใจในเศรษฐกิจแบบ platform ที่สร้างมูลค่าจากการเชื่อมต่อมากกว่าการจ้างงานตรง แต่ความท้าทายอยู่ที่การรักษาคุณภาพบริการเมื่อมีผู้ให้บริการจำนวนมาก

กลยุทธ์ธุรกิจ: ท้าทายยักษ์ใหญ่ระดับโลก

สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ CK ไม่ได้มองแค่ตลาดไทย แต่ตั้งเป้าแข่งขันกับยักษ์ใหญ่ระดับโลก โดยใช้กลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจง:

การแย่ง Search Traffic จาก Google

แนวคิดหลัก: เป็น "ร้านค้าออนไลน์ทุกบริการ" เหมือน Amazon ที่เป็น "ร้านค้าออนไลน์ทุกสินค้า"

กลไกการทำงาน:

  • สร้าง SEO keywords มหาศาลจากการโพสต์งานหลากหลายประเภท
  • ทำให้คนค้นหาบริการใน FastWork แทนที่จะไปหาใน Google
  • เป้าหมายคือทำให้ทุกการค้นหาเกี่ยวกับบริการมาที่ FastWork

ตัวอย่างการใช้งาน: แทนที่จะค้นหา "คนออกแบบโลโก้" ใน Google คนจะเข้ามาค้นหาใน FastWork โดยตรง

การแข่งขันกับ Facebook ในตลาดหางาน

นวัตกรรมสำคัญ: ระบบ escrow (การเก็บเงินค่ำ้ประกัน)

ปัญหาของ Facebook:

  • ไม่มีระบบป้องกันการโกง
  • ไม่มีการันตีการชำระเงิน
  • ขาดระบบประเมินคุณภาพงาน

โซลูชันของ FastWork:

  • เก็บเงินไว้ก่อนจนงานเสร็จ
  • ค่าธรรมเนียมเพียง 3.5-5%
  • สร้างความน่าเชื่อถือระหว่างผู้จ้างและคนทำงาน

การท้าทาย Grab และ Uber

CK วางแผนขยายไปสู่บริการแบบ on-demand ครบวงจร:

วิสัยทัศน์: "กดปุ่มเดียว ทุกบริการมาถึงหน้าบ้าน"

  • นวดถึงบ้าน
  • ตัดผมถึงบ้าน
  • ถ่ายภาพ/ตัดต่อวีดีโอถึงบ้าน
  • และบริการอื่นๆ อีกมากมาย

ข้อได้เปรียบ: ขณะที่ Grab/Uber มีบริการเฉพาะด้าน FastWork สามารถครอบคลุมทุกประเภทบริการ

การเปลี่ยนรูปแบบรายได้: จาก Commission สู่ Advertisement

หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจคือการเปลี่ยนรูปแบบรายได้:

ปัจจุบัน: เก็บ Commission 10%

อนาคต: ไม่เก็บ Commission แต่ขายโฆษณา

เหตุผล:

  • สร้าง incentive ที่สอดคล้องกันระหว่าง platform และฟรีแลนซ์
  • ฟรีแลนซ์ที่ต้องการเพิ่มการมองเห็นสามารถซื้อโฆษณาได้
  • สร้างรายได้จากปริมาณ traffic ที่มหาศาล

การวิเคราะห์: โมเดลนี้เหมือน Google ที่สร้างรายได้จากโฆษณามากกว่าการขายบริการตรง แต่ต้องมี traffic เพียงพอก่อนที่จะทำได้

แนวคิดเรื่องการทำงาน: ทำงานหนักแบบ "คนบ้า"

CK แบ่งการทำงานหนักออกเป็น 2 ประเภท:

  1. ทำงานหนักมาก - ระดับปกติ
  2. ทำงานหนักเหมือนคนบ้า - ระดับที่เขาอยู่

ปรัชญาเบื้องหลัง

แนวคิดนี้มาจากความเชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศต้องใช้ความเสียสละสูงสุด เขาเปรียบเทียบตัวเองว่า "ถ้าผมไม่ทำงานหนักให้คนอื่นเขาเห็น คนอื่นจะทำงานหนักหรือ?" การเป็นแบบอย่างจึงเป็นหน้าที่ของผู้นำ

รูทีนประจำวันที่ท้าทาย

  • นอน: 01:00 น.
  • ตื่น: 08:00 น. (7 ชั่วโมง)
  • ทำงาน: ตลอดเวลาที่ตื่น รวมถึงการคิดเรื่องงานแม้กระทั่งตอนกิน

หน้าที่ที่ทำด้วยตัวเอง

  • Content Creation: ตัดต่อคลิป โพสต์ content ทุกชิ้นด้วยตัวเอง
  • Product Development: ออกแบบ UI/UX ของแอป
  • Human Resources: สัมภาษณ์และ recruit พนักงานเอง
  • Business Development: ติดต่อลูกค้าและหาพันธมิตร
  • Global Recruitment: หาคนไทยเก่งๆ จากบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley กลับมาทำงานที่ไทย

ข้อควรระวัง: แม้ความมุ่งมั่นจะน่าชื่นชม แต่การทำงาน 15-17 ชั่วโมงต่อวันอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและความสัมพันธ์ระยะยาว การปรับใช้ควรพิจารณาความสมดุลในชีวิต

ปรัชญาการบริหารองค์กร: กล้าเสี่ยงและไม่เบรกตัวเอง

หลักการ "ไม่เบรกไอเดีย" - แนวคิดที่ขัดกับสามัญสำนึก

CK มีกฎเหล็กว่า "ห้ามทีมงานเบรกตัวเอง" เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนการขับรถ ถ้าคนขับและคนนั่งข้างๆ เหยียบเบรกพร้อมกัน รถจะหยุดเร็วเกินไป

ตรรกะเบื้องหลัง:

  • CEO เสี่ยงมากที่สุด (ถือหุ้น 100%)
  • ทีมงานควรกล้าเสี่ยงมากกว่า เพราะไม่มีอะไรจะเสีย
  • ถ้าทีมไม่สามารถทำให้ CEO เบรกได้ แปลว่ายังไม่กล้าเสี่ยงพอ

หลักการสำคัญ: "ชีวิตมันเกี่ยวกับความเสี่ยง ถ้าไม่กล้าเสี่ยง ก็อยู่ในกรอบ แต่เสี่ยงเนี่ย คุณถึงสามารถสร้างความเป็นจริงที่มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้"

การประยุกต์ใช้:
เนื่องจากแนวคิดนี้ค่อนข้างรุนแรง องค์กรทั่วไปอาจปรับเป็น "สร้างสภาพแวดล้อมที่คนกล้าเสนอไอเดียแปลกใหม่" และ "สร้างวัฒนธรรมการทดลองโดยไม่กลัวผิดพลาด" แทนการห้ามเบรกทั้งหมด

หลักการรับพนักงาน: "เก่งที่สุดในสายอาชีพ"

CK ตั้งเกณฑ์ที่ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผล: ต้องเป็นหรือเชื่อว่าจะเป็นคนเก่งที่สุดในสายอาชีพ

วิธีทดสอบ:
ในการสัมภาษณ์ เขาจะถามว่า "มีอะไรที่คุณเก่งกว่าผมไหม?" และต้องพิสูจน์ได้ด้วยทักษะที่จับต้องได้

ปรัชญาเบื้องหลัง:

  • คนเก่งจริงจะรู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน และไม่พลาดซ้ำ
  • คนที่ไม่เก่งจะหาข้อแก้ตัว แทนการแก้ไขปัญหา
  • ความ humble คือกุญแจ: "อย่าชอบคิดว่าตัวเองถูก อย่าคิดว่าตัวเองสำคัญเกินไป ถ้ามึงทำบางสิ่งบางอย่างแล้วโลกไม่ซื้อ แปลว่าเรายังไม่ดีพอ"

การปรับใช้: องค์กรทั่วไปอาจใช้หลักการ "หาคนที่มีความมุ่งมั่นสูงและเรียนรู้เร็ว" พร้อมกับ "ความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง" แทน

การพัฒนา Content และ Personal Branding: ความจริงใจเหนือการตลาด

แนวคิดการสร้าง Content

CK เน้นว่าเขาไม่ได้พยายามสร้าง personal brand แต่มันเกิดขึ้นเองจากการทำความดี:

หลักการสำคัญ:

  • ไม่แคร์ภาพลักษณ์ - เป็นตัวเองทั้งหน้าและหลังกล้อง
  • ทำความดีจริง - ไม่ทำเพื่อให้คนชม
  • ไม่ใช้ script - พูดตามความจริง ไม่มีการเตรียมคำตอบ
  • ไม่เคยจ่าย สำหรับการออกรายการหรือสื่อใดๆ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการทำ Content:

  1. เริ่มต้นที่ความดี - ทำ content เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนฟัง
  2. เริ่มต้นที่มูลค่า - มีสิ่งที่แท้จริงจะให้กับสังคม
  3. อย่าพยายามทำ branding - โฟกัสที่การสร้างคุณค่า branding จะตามมาเอง

การเรียนรู้จากความผิดพลาด

หลักการสำคัญ: "คนเก่งจะไม่พลาดรอบ 2 แต่ที่สำคัญคุณต้องพลาดก่อน แล้วคุณต้องรู้ว่าคุณพลาดอะไร"

กระบวนการเรียนรู้:

  1. ทดลองทำ content หลากหลายรูปแบบ
  2. วิเคราะห์ metrics - แชร์ เซฟ คอมเมนต์ วิว
  3. เข้าใจว่าอะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์ค
  4. หยุดทำสิ่งที่ไม่เวิร์ค ทำสิ่งที่เวิร์คให้ดีขึ้น

ข้อควรระวัง: การโฟกัสที่ metrics อย่างเดียวอาจทำให้สูญเสียความแท้จริงของ content ควรสมดุลระหว่างการวัดผลและการรักษาคุณค่าของเนื้อหา

แนวคิดเรื่องการลงทุน: "ลูกค้าได้ข้อมูลก่อน Wall Street เสมอ"

CK อ้างว่าผลตอบแทนการลงทุนของเขาดีกว่า Warren Buffett ในแง่เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ทฤษฎีที่ว่าการลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ต้องอาศัยข้อมูลภายใน แต่ใช้การสังเกตการณ์ในชีวิตประจำวัน

หลัก "Customer First Information"

แนวคิดหลัก: ก่อนที่บริษัทจะออก earning report ลูกค้าจะรู้ความจริงก่อนเสมอ

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้:

กรณี Starbucks:

  • Starbucks สร้างแอปใหม่เพื่อให้แถวเร็วขึ้น
  • คุณใช้ก่อน → รู้ว่าดีจริงหรือไม่ → รู้ว่าทำให้คุณสั่งกาแฟมากขึ้นหรือไม่
  • ข้อมูลนี้มาก่อนที่จะเป็นตัวเลขในรายงานทางการเงิน

กรณี Amazon:

  • เห็นร้านหนังสือเปลี่ยนจากที่ซื้อหนังสือเป็นที่นัดเจอ
  • ลูกค้าไม่เข้าร้านหนังสือแล้ว เพราะสั่งผ่าน Amazon หมด
  • รู้ว่า Amazon จะชนะก่อนที่ตัวเลขจะออกมา

วิธีการลงทุนแบบ CK:

  1. ใช้ผลิตภัณฑ์จริง - ไม่ลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจลึก
  2. สังเกตพฤติกรรมการใช้งาน - ของตัวเองและคนรอบข้าง
  3. วิเคราะห์เทรนด์ระยะยาว - ไม่ดูแค่ราคาหุ้น
  4. เข้าใจธุรกิจอย่างลึกซึ้ง - สามารถอธิบายโมเดลธุรกิจได้แบบละเอียด

กรณีศึกษา: การลงทุนใน Amazon

CK อธิบายว่าเขาเข้าใจ Amazon อย่างลึกซึ้ง:

วิวัฒนาการของ Amazon:

  1. เริ่มจากร้านหนังสือออนไลน์
  2. ขยายเป็น E-commerce ทั่วไป
  3. สร้าง Logistics เอง (เตะ FedEx ออก เพื่อเก็บ margin)
  4. พัฒนา Cloud Computing เพื่อรองรับการขยายตัว → เกิด AWS
  5. AWS กลายเป็นแหล่งกำไรหลัก มากกว่าการขายของ
  6. Search Engine ตัวเอง แย่ง traffic จาก Google
  7. AI และ Machine Learning พัฒนา Nova LLM, Alexa, Claude

ข้อสำคัญ: "ผมสามารถเล่าธุรกิจ Amazon ให้คุณฟังได้อย่างละเอียด เพราะผมลงทุนมานาน และศึกษาอย่างจริงจัง"

แนวคิดเรื่อง Cryptocurrency: "ทรัพย์สินที่จำกัดจริง"

ปรัชญาการลงทุน Bitcoin:

ปัญหาที่ CK เห็น:

  • เงินเฟียต รัฐบาลพิมพ์ได้ไม่จำกัด เกิดเงินเฟ้อ
  • ทอง ยังขุดได้เพิ่ม หาแหล่งใหม่ได้ รัฐบาลไม่ค่อยสต็อก

ข้อดีของ Bitcoin:

  • จำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ไม่เพิ่มได้อีก
  • ความปลอดภัย ไม่เคยถูกแฮก
  • การกระจายอำนาจ ไม่มีองค์กรใดควบคุม

การลงทุนใน Solana: กรณีศึกษาการมองอนาคต

การวิเคราะห์เทคนิค:

  • ปัญหาของ Ethereum TPS (Transaction Per Second) ต่ำ ระบบล่มง่าย
  • โซลูชันของ Solana TPS สูง รองรับแอปพลิเคชันขนาดใหญ่ได้
  • วิสัยทัศน์ เชื่อว่า Decentralized Application จะเป็นอนาคต

ผลลัพธ์: ลงทุนที่ $0.25 ปัจจุบันราคาอยู่ที่ $180+ (ผลตอบแทนกว่า 700 เท่า)

ข้อควรระวัง: การลงทุนใน cryptocurrency มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้อ่านควรศึกษาอย่างละเอียดและลงทุนเท่าที่เสียได้

การเงินส่วนตัว: เสียสละเพื่อความฝัน

การลงทุนส่วนตัวใน FastWork

ข้อมูลที่น่าประหลาดใจคือ CK ใช้เงินส่วนตัว 250 ล้านบาท ไปกับ FastWork โดยไม่เคยคิดจะขายบริษัท แม้จะมีข้อเสนอซื้อ 2,000 ล้านบาท

เหตุผลที่ปฏิเสธข้อเสนอ:

  • "ผมไม่ต้องการเงินคุณ ผมต้องการมันสมอง"
  • "ผมไม่ต้องการพึ่งพาใคร ไม่ต้องการขอร้อง ไม่ต้องคุกเข่า ไม่ต้องเลียแข้งเลียขาใคร"
  • "ถ้าผมพึ่งพาเงินคนอื่น ความเป็นอิสระในการตัดสินใจจะหายไป"

ปรัชญาเรื่องความสำเร็จและเงิน

คำพูดที่สำคัญ: "วันที่ผมตาย มันจะชัดเจนมากๆ ว่า เด็กผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำงานสักวันนึงเพื่อเงินเลย ทุกอย่างที่ผมทำ ผมทำเพื่อประเทศไทย"

หลักการเรื่องเงิน:

  1. ไม่ทำงานเพื่อเงิน - ทำเพื่อประเทศไทย
  2. เงินเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่เป้าหมาย
  3. อิสรภาพในการตัดสินใจ สำคัญกว่าการเพิ่มทุน
  4. การลงทุนส่วนตัว แสดงความมุ่งมั่นที่แท้จริง

ข้อควรพิจารณา: แม้แนวคิดนี้จะน่าชื่นชม แต่การใช้เงินส่วนตัวจำนวนมหาศาลเป็นความเสี่ยงสูง ผู้ประกอบการทั่วไปควรพิจารณาการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

บทเรียนชีวิต: จากเด็กไร้บ้านสู่ผู้สร้างบ้าน

ช่วงวัยเด็ก: ความยากลำบากที่หล่อหลอม

ประสบการณ์ที่สำคัญ:

  • ครอบครัวแตกแยกตั้งแต่เด็ก
  • ถูกพ่อพูดว่า "เป็นขยะที่ไร้ความสามารถ"
  • ถูกส่งไปอเมริกาตัวคนเดียวอายุ 14-15 ปี
  • ได้รับการปฏิเสธจากครอบครัวอุปถัมภ์: "CK กลับบ้านเถอะ เพราะเราต้องการไปใช้ช่วงเวลาผ่อนของครอบครัว"

การกลับสู่ไทย: โมเมนต์แห่งการตื่นตัว

โมเมนต์สำคัญ: เมื่อลงมาจากอพาร์ตเมนต์ที่บัชลเพญ ซอย 7 รัชดาภิเษก

"ผมได้ทุกปีที่ผมกลับมา 'CK ตัวสูงขึ้นนะ' 'CK มีแฟนหรือยัง' 'CK เป็นไงบ้าง อเมริกาเป็นไงบ้าง' 'กลับมาแล้วหรอ CK' จำผมได้ คนไทยกันเองสร้างบ้านนะ ผมตอนนี้ผมไม่มีบ้าน ผมติดบุญคุณประเทศไทยทั้งชีวิต"

การตระหนักรู้:

  • คนไทยสร้าง "บ้าน" ให้ผ่านความอบอุ่นของคนในซอย
  • ประเทศไทยคือบ้านแท้จริง ไม่ใช่แค่สถานที่เกิด
  • สุวรรณภูมิคือ "ประตูบ้านผม"

ภารกิจที่เกิดขึ้น:
"วันนี้ผมอยากจะทุ่มเททั้งชีวิตมาทำให้ทั้งประเทศดีขึ้น เพราะประเทศคือบ้านผม สุวรรณภูมิประตูบ้านผม ยูจะทำให้แค่ห้องนอนสวยหรอ ไม่ living room ก็ต้องสวย สงขลา น่าน หาดใหญ่ ลำพูน คุณต้องสวยให้หมด"

การเยียวยาจากอดีต

แนวคิดเรื่องการไม่สงสารตัวเอง:
"ผม ไม่เคยสงสารตัวเองในชีวิต และผมไม่ต้องการให้คุณสงสารด้วย ผมไม่ต้องสงสารตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วผมไม่ได้น่าสงสารขนาดนั้น ผมมีน้ำกิน ผมไม่ต้องมาตากฝน ไม่ต้องมานอนข้างถนน มีอินเทอร์เน็ต มีสิทธิ์ในการพูด สามารถทำ content ได้ ผมโชคดีโคตร"

ข้อสังเกต: แนวคิดนี้แสดงถึงความสามารถในการมองเห็นด้านบวกและการเปรียบเทียบกับคนที่มีสถานการณ์ยากลำบากกว่า อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดอาจไม่ใช่วิธีที่สมดุลสำหรับทุกคน

แนวคิดเรื่องการสร้างครอบครัว: ความรักและความรับผิดชอบต่อประเทศ

ความต้องการมีลูก

เหตุผลหลัก: "ผมอยากมีลูกมาก เพราะเป็นส่วนนึงที่ทำให้ประเทศไทยดีขึ้น"

ปัญหาประชากรที่เขาเห็น:

  • อัตราการเกิดลดลง: "พ่อแม่เสีย 2 ลูกเหลือ 1"
  • การคาดการณ์: "50 ปีผ่านประชากรเหลือแค่ 33 ล้าน"
  • ความรับผิดชอบของคนรุ่นใหม่: "ผมมีหน้าที่เป็นตัวอย่างที่ดี ผมต้องมีลูกให้ได้"

แนวคิดเรื่องความรัก

ความเชื่อพื้นฐาน: "ผมไม่ต้องการความรัก ความรักเป็นจุดอ่อนของมนุษย์"

ยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว: "ไม่ ก็คือประเทศไทย ผมรักประเทศไทยแบบไม่มีความหมาย"

การอธิบายปรัชญา:
"คุณไม่สามารถสอนให้ใครสักคนนึงให้ไม่ยอมแพ้ได้ เพราะไอ้ความไม่ยอมแพ้มันมาจากความรัก ถ้าคุณรักบางสิ่งบางอย่างเพียงพอ คุณจะไม่ยอมแพ้ คุณเคยเห็นแม่มีลูกมั้ย ลูกร้องไห้ ลูกทำของพัง แม่จะมีวันไม่รักลูกมั้ย ไม่มี เพราะแม่จะไม่มีวันยอมแพ้กับลูก เพราะว่าแม่รักลูก ผมรักประเทศไทย ผมจะไม่มีวันยอมแพ้"

เกณฑ์การเลือกคู่ชีวิต

หลักการสำคัญ: "การมีคนนึงมันต้องทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น คุณไม่ควรต้องมาเสียสละเพื่อความรัก"

คำแนะนำที่แหลมคม:

  • สำหรับผู้ชาย: "อย่าทิ้งเป้าหมายเพื่อผู้หญิง เป้าหมายคุณรักตลอดไป"
  • สำหรับผู้หญิง: "อย่าเลือกผู้ชายที่ทิ้งเป้าหมายตัวเอง เพราะวันนึงเค้าจะไม่มีวันลืมเป้าหมายของตัวเอง แล้ววันนึงเค้าจะทิ้งเราเพราะเรากลับไปที่เป้าหมายของเขา"

การปรับใช้: แนวคิดนี้เน้นความสำคัญของการรักษาเอกลักษณ์และเป้าหมายส่วนตัว แต่ในความสัมพันธ์จริง การประนีประนอมและการเสียสละบางอย่างเป็นเรื่องปกติ ควรมองหาความสมดุลระหว่างการรักษาตัวตนและการเป็นคู่ที่ดี

ข้อคิดเห็นที่แหลมคม: "หยุดโทษระบบ" - การวิเคราะห์แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบตัวเอง

ส่วนท้ายของการสัมภาษณ์เป็นการแสดงทัศนะที่ค่อนข้างรุนแรงเกี่ยวกับการพึ่งพาตัวเอง:

แนวคิดหลัก: "เกิดจนไม่ผิด แต่ตายจนนั่นคือความผิด"

การโจมตีความเชื่อเดิม:

เรื่องการศึกษา:
"วันนี้คุณไม่มีความรู้ ผิดที่คุณ ล้านเปอร์เซ็นต์ ไม่อยากไปโทษระบบ เกิดมาไม่มีระบบการศึกษาที่ดี คุณไม่ผิด แต่ตายแบบไม่มีความรู้ คุณผิด 100%"

เรื่อง Connection:
"วิธีในการหาconnection ไม่ได้พยายามแบบไปกินเหล้าคนนู้นไปกินเหล้าคนนี้ ไปออกงานนู่นนี่นั่น ถ้าคุณกระจอกไม่มีใครอยากเกาะมึง วิธีในการหาconnection คือทำให้ตัวเองไม่กระจอก ทำให้ตัวเองเก่ง ถ้าตัวเองเก่งเพียงพอ เค้ายังให้เค้าเข้าหาคุณ"

การวิเคราะห์แนวคิด:

ส่วนที่มีเหตุผล:

  • ความรู้ในยุคดิจิทัล มีต้นทุนใกล้เคียงศูนย์จริง
  • การพึ่งพาตัวเอง เป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จ
  • การหยุดสงสารตัวเอง ช่วยให้มุ่งเน้นการแก้ปัญหา
  • ความเก่งสร้าง opportunities ได้จริง

ส่วนที่ควรใช้อย่างระมัดระวัง:

  • การละเลยปัจจัยระบบ บางครั้งระบบมีปัญหาจริงและควรแก้ไข
  • การกดดันทางจิตใจ อาจนำไปสู่การโทษตัวเองเกินเหตุ
  • ความแตกต่างของโอกาส บางคนต้องเผชิญอุปสรรคที่แตกต่างกัน
  • ปัจจัยทางสังคม เช่น เพศ เชื้อชาติ การเลือกปฏิบัติ ยังมีผลอยู่

การประยุกต์ใช้อย่างสมดุล

สิ่งที่ควรนำไปใช้:

  • โฟกัสที่การพัฒนาตัวเอง แทนการหาข้อแก้ตัว
  • ใช้ประโยชน์จากความรู้ฟรี ที่มีในยุคดิจิทัล
  • เพิ่มความมั่นใจ ด้วยการสร้างความเก่งจริง
  • รับผิดชอบในส่วนที่ควบคุมได้

สิ่งที่ควรปรับให้สมดุล:

  • ยอมรับปัจจัยภายนอก ที่อาจส่งผลต่อความสำเร็จ
  • รักษาสุขภาพจิต ไม่โทษตัวเองเกินเหตุ
  • ช่วยเหลือสังคม พร้อมกับการพัฒนาตัวเอง
  • เข้าใจข้อจำกัดของตัวเอง และแสวงหาความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น

เรื่องเล่าแห่งแรงบันดาลใจ: ป้าขายหมูปิ้งและบทเรียนชีวิต

ความทรงจำที่สำคัญ

เมื่อ CK กลับมาไทยและอยู่คนเดียว เขาได้มีปฏิสัมพันธ์กับป้าขายหมูปิ้งที่กลายเป็นบทเรียนสำคัญ:

บทสนทนาที่น่าสนใจ:
"ผมอายุ 15 ผมไปคุยกับป้า ป้าแง ขายป้าอยากขาย 10 บาท ป้าลองขาย 15 บาท ลองดูสักวันนึง เผื่อลูกค้าซื้อ 15 บาท ไม่มีใครซื้อลองดูป้า เชื่อผม เฮ้ยแล้วกินกันตั้งแต่เด็กเลยอะนะ เชื่อผม"

บทเรียนเรื่องการต่อรองราคา:
"ข้าวเหนียว 5 บาท ป้าลองขาย 10 บาท ลองดู กินซื้อหมูปิ้งพี่ซื้อข้าวเหนียวไม่ได้อยู่แล้ว ป้าลองขาย 10 บาท มีคนซื้อป้าจะได้กำไรมากขึ้นด้วย แต่ป้าไม่เชื่อ"

ความหมายลึกซึ้ง:
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่เด็ก CK มีความคิดทางธุรกิจและการมอง value proposition แม้ป้าจะไม่ฟัง แต่เขาก็ยังได้บทเรียนสำคัญเรื่องการสื่อสารและการเข้าใจลูกค้า

อนาคตของ FastWork: แผนการที่ทะเยอทะยาน

เป้าหมายระยะสั้น (2-3 ปี)

  • มีฟรีแลนซ์ 5-6 ล้านคน ทำงานบนแพลตฟอร์ม
  • เป็นเว็บไซต์ที่มี traffic มากที่สุดในไทย (ปัจจุบันอยู่ที่ 3 ล้าน pageview ต่อเดือนรวมทั้ง 3 ประเทศ)
  • ขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อินโดนีเซีย เวียดนาม
  • เปิดตัวฟีเจอร์ on-demand service (กดปุ่มเดียวทุกบริการมาถึงบ้าน)

เป้าหมายระยะยาว (5-10 ปี)

  • เป็นบริษัทที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย
  • กระทบต่อ GDP ของประเทศ - "ถ้าวันนึงธุรกิจผมหายไป GDP ประเทศต้องกระทบให้ได้"
  • ลบคำว่า "ต่างจังหวัด" ออกจากประเทศไทย - สร้างความเจริญทั่วประเทศ
  • แข่งขันระดับโลก กับ Google, Facebook ในส่วน market share

กลยุทธ์การบรรลุเป้าหมาย

1. การสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์:

  • ไม่ใช่แค่ freelance marketplace แต่เป็น "ร้านค้าออนไลน์ทุกบริการ"
  • รวมทุกอย่างตั้งแต่ design, marketing, legal, wellness, entertainment

2. การใช้ Technology เป็นแกนหลัก:

  • AI matching ระหว่างงานและ freelancer
  • ระบบ escrow ที่ปลอดภัย
  • Mobile-first approach

3. การขยายตลาดระหว่างประเทศ:

  • เอาแรงงานไทยไปแข่งในตลาดโลก
  • ดึงลูกค้าต่างชาติมาใช้บริการคนไทย

การสร้าง Personal Brand ที่แท้จริง: บทเรียนจาก CK

หลักการ "Anti-Personal Branding"

CK มีมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับ personal branding:

สิ่งที่เขาไม่ทำ:

  • ไม่ใช้ script หรือเตรียมคำตอบ
  • ไม่แต่งหน้า ไม่ดูแลภาพลักษณ์
  • ไม่จ่ายเงินสำหรับการออกรายการ
  • ไม่พยายามเอาใจใคร

สิ่งที่เขาทำ:

  • เป็นตัวเองทั้งหน้าและหลังกล้อง
  • พูดตรงไปตรงมา แม้จะหยาบคาย
  • โฟกัสที่การให้คุณค่าจริงๆ
  • ไม่แคร์ว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ

ผลลัพธ์:

  • โพสต์ 6-7 คลิปต่อวัน ติดต่อกันหลายปี
  • มีคนดู 60-80 ล้านคนต่อเดือน
  • สร้างแรงบันดาลใจให้คนจำนวนมาก

บทเรียนสำหรับคนทำ Content

1. เริ่มต้นที่ความดี:
"ทำ content เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนฟัง อย่าทำเพื่อให้คนชม"

2. โฟกัสที่มูลค่า:
"สุดท้ายต้องให้มูลค่าให้คนฟังให้ได้ that's the most important thing"

3. เรียนรู้จากข้อมูล:

  • ดู metrics: แชร์ เซฟ คอมเมนต์ วิว
  • เข้าใจว่าอะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์ค
  • หยุดทำสิ่งที่ไม่เวิร์ค ทำสิ่งที่เวิร์คให้ดีขึ้น

4. ความสอดคล้อง:
"ผมโพสต์ 3-4 content ผมไม่เคยพลาดสักวันเลย 3-4 ปีที่ผ่านมา"

ข้อเสนอแนะเชิงวิพากษ์วิจารณ์

จุดแข็งที่ควรเรียนรู้

1. วิสัยทัศน์และความมุ่งมั่น:

  • มีเป้าหมายที่ชัดเจนและท้าทาย
  • ยินดีเสียสละเพื่อสิ่งที่เชื่อ
  • คิดระยะยาวและคิดใหญ่

2. การทำงานและการบริหาร:

  • ลงมือทำเองในทุกขั้นตอน
  • โฟกัสที่ผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ
  • กล้าทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำ

3. การลงทุนและการเงิน:

  • ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจลึก
  • ใช้ข้อมูลจากการสังเกตจริง
  • มีวินัยในการถือระยะยาว

จุดที่ควรใช้ความระมัดระวัง

1. เรื่องสุขภาพและความสมดุล:
การทำงาน 15-17 ชั่วโมงต่อวันเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพกายและใจ อาจเหมาะกับบางคนในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่ยั่งยืนสำหรับทุกคน

2. แนวคิดที่รุนแรงเกี่ยวกับความรับผิดชอบ:
การโทษตัวเอง 100% สำหรับความล้มเหลวอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต ควรมีความสมดุลในการรับผิดชอบและการยอมรับปัจจัยภายนอก

3. การปฏิเสธระบบสังคม:
แม้การพึ่งพาตัวเองจะสำคัญ แต่ปัญหาโครงสร้างทางสังคมมีอยู่จริง การเพิกเฉยต่อปัญหาเหล่านี้อาจไม่ช่วยให้สังคมดีขึ้นรวม

4. มาตรฐานที่สูงเกินไป:
การคาดหวังให้ทุกคนเป็น "คนเก่งที่สุด" อาจสร้างแรงกดดันและความรู้สึกไม่พอดีให้กับหลายคน

บทสรุป: บทเรียนและข้อควรพิจารณา

การสัมภาษณ์นี้นำเสนอมุมมองของผู้ประกอบการที่มีความมุ่งมั่นสูงและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน แต่ในฐานะผู้อ่าน เราควรวิเคราะห์และปรับใช้อย่างสมดุล

แนวคิดที่มีคุณค่าและสามารถนำไปใช้ได้:

1. การมุ่งเน้นการสร้างมูลค่า

  • ทำธุรกิจเพื่อแก้ปัญหาจริงของสังคม
  • โฟกัสที่ผลลัพธ์ระยะยาวมากกว่ากำไรระยะสั้น
  • สร้างโอกาสงานให้คนอื่นแทนการแข่งขันเอาเปรียบ

2. การลงทุนและการเงินส่วนตัว

  • ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจจริงและใช้ประจำ
  • สังเกตเทรนด์จากการใช้งานจริงมากกว่าข่าวลือ
  • การบริหารความเสี่ยงอย่างมีสติและมีแผน

3. การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

  • ใช้ประโยชน์จากความรู้ที่เข้าถึงได้ในยุคดิจิทัล
  • โฟกัสที่การแก้ปัญหาแทนการหาข้อแก้ตัว
  • การเรียนรู้จากความผิดพลาดและไม่ทำซ้ำ

4. การสร้าง Content ที่แท้จริง

  • เริ่มจากความต้องการให้คุณค่าแก่ผู้อื่น
  • ความสม่ำเสมอและความมุ่งมั่นระยะยาว
  • การเป็นตัวเองแทนการสร้างภาพลักษณ์เท็จ

ข้อควรพิจารณาและปรับใช้อย่างระมัดระวัง:

1. เรื่องการทำงานหนักเกินขีดจำกัด
แม้ความมุ่งมั่นจะสำคัญ แต่การทำงาน 15-17 ชั่วโมงต่อวันเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ความสัมพันธ์ และประสิทธิภาพในระยะยาว ควรหาจุดสมดุลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตัวเอง

2. เรื่องการโทษระบบและสังคม
การพึ่งพาตัวเองและรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ แต่การปฏิเสธปัจจัยระบบทั้งหมดอาจไม่สมจริง ปัญหาโครงสร้างทางสังคมมีอยู่จริงและควรได้รับการแก้ไขควบคู่กับการพัฒนาตัวเอง

3. เรื่องมาตรฐานความสำเร็จ
ไม่ใช่ทุกคนจำเป็นต้องเป็น "คนเก่งที่สุด" หรือมีเป้าหมายระดับประเทศ ความสำเร็จมีหลายรูปแบบและควรเหมาะสมกับบริบท ความสามารถ และความต้องการของแต่ละคน

4. การดูแลสุขภาพจิต
แนวคิดบางอย่างอาจสร้างแรงกดดันทางจิตใจ โดยเฉพาะการไม่ยอมรับความรู้สึกเจ็บปวดหรือการโทษตัวเองเกินเหตุ ควรแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

ข้อเสนอแนะสำหรับผู้อ่าน:

  1. เลือกสรรแนวคิดที่เหมาะสม กับสถานการณ์และบุคลิกของตัวเอง
  2. รักษาสุขภาพจิตและกาย ขณะมุ่งสู่เป้าหมาย
  3. สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาตัวเอง และการมีส่วนร่วมกับสังคม
  4. แสวงหาคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อต้องการนำแนวคิดไปปรับใช้

การสัมภาษณ์นี้เป็นแรงบันดาลใจที่ดี แต่จำไว้ว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน สิ่งสำคัญคือการหาวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองในการสร้างคุณค่าให้กับสังคมและบรรลุเป้าหมายในชีวิต

Top comments (0)