DEV Community

Cover image for ใช้ ChatGPT Plus แทน AI Agent ยังไง
Atthaphon Urairat
Atthaphon Urairat

Posted on

ใช้ ChatGPT Plus แทน AI Agent ยังไง

ช่วงหลัง ๆ นี้ AI กลายเป็นผู้ช่วยที่ขาดไม่ได้ในชีวิตผมไปแล้ว โดยเฉพาะ ChatGPT Plus ที่ผมจ่ายเงินสมัครใช้งานทุกเดือน ถึงแม้ในตลาดจะมี AI Agent ทางเลือกใหม่ ๆ ออกมามากมาย แต่ผมยังเลือกอยู่กับ ChatGPT เพราะมันตอบโจทย์ทั้งในแง่ความสามารถและความคุ้มค่า และที่สำคัญ ผมสามารถปรับวิธีใช้งานให้มัน “รู้จักโปรเจกต์ผม” ได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

วันนี้เลยอยากมาแชร์แนวทางที่ผมใช้ให้ ChatGPT ทำงานได้เหมือน AI Agent ส่วนตัว — โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม


จุดเริ่มต้น: จากคนที่ใช้ AI ช่วยแค่เรื่องเล็ก ๆ

ตอนแรก ผมใช้ AI แค่ช่วยเขียนอีเมลภาษาอังกฤษ หรือหาสาเหตุเวลาเจอ error แปลก ๆ แทนที่จะเปิด Google, Stack Overflow หรือดู Issue ใน Github โดยไล่หาด้วยตัวเอง ซึ่งก็ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะ

ต่อมาเริ่มใช้เขียนโค้ดแบบจริงจัง — ตั้งแต่ยุค GitHub Copilot จนตอนนี้มาจบที่ ChatGPT Plus ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ทุกวัน ไม่ใช่แค่ตอนเขียนโค้ด แต่รวมถึงงานอื่น ๆ อย่าง:

  • เขียนสคริปต์หรือเทสเคสให้ทีม QA
  • แนะนำไอเดียเวลาตัน
  • ช่วยสอนการบ้านลูก 😄

ทำไมยังไม่เปลี่ยนไปใช้ AI Agent อื่น?

AI Agent หลายตัวมีฟีเจอร์น่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่ต้องจ่ายเพิ่มหรือซื้อเครดิตเพิ่ม ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมคิดว่า ChatGPT Plus ก็เพียงพอแล้ว — โดยเฉพาะถ้ารู้จักใช้ให้ถูกวิธี

อีกอย่างคือ ChatGPT ใช้ร่วมกับ extension บน VS Code ได้ และตอนนี้มันก็สามารถจำ session ได้ดีขึ้นมาก แถมรองรับการอัปโหลดไฟล์เพื่อช่วยวิเคราะห์ context ของโค้ดเราได้แล้ว


วิธีที่ผมเปลี่ยนการใช้งานโดย เขียน PROJECT.md

ผมค้นพบว่า การมีไฟล์สรุปโปรเจกต์ (ในรูปแบบ markdown) ช่วยให้ ChatGPT เข้าใจงานเราได้ลึกขึ้น และติดตามความคืบหน้าได้เหมือนเป็นเพื่อนร่วมงานจริง ๆ

ในไฟล์นั้นจะมี

  • เป้าหมายของแอป
  • เทคโนโลยีที่ใช้
  • โครงสร้างโฟลเดอร์
  • ฟีเจอร์ที่ทำเสร็จแล้ว / วางแผนไว้
  • และโน้ตอื่น ๆ ที่อยากให้ ChatGPT ช่วย

ทุกครั้งที่เริ่ม session ใหม่ ผมจะส่งไฟล์นี้ให้ก่อน แล้วจึงค่อยคุยหรือให้มันช่วย implement ทีละฟีเจอร์


ปัญหาที่เจอ และวิธีแก้ ผมใช้ zip code ก่อนเริ่มงาน

แม้จะมี PROJECT.md แล้ว แต่เมื่อห่างจากงานไปนาน ๆ ผมก็ยังเจอว่าเจ้า ChatGPT จำอะไรไม่ได้เท่าที่ควร

ทางออกของผมคือ zip โค้ดโปรเจกต์ แล้วอัปโหลดให้ ChatGPT วิเคราะห์เอง

ผมสร้าง CLI เล็ก ๆ ที่ชื่อว่า chatpack ซึ่งจะ zip เฉพาะไฟล์ที่จำเป็น (โดยใช้ .chatpackignore) พร้อมกับรวม PROJECT.md เข้าไปใน zip นั้นด้วย

พอเปิด session ใหม่ ก็แค่อัปโหลด zip นั้นให้กับ ChatGPT แล้วมันจะช่วยผมทำงานต่อได้เหมือนเดิม


ตัวอย่าง: ChatGPT ช่วยอัปเดต PROJECT.md เอง

อีกไอเดียที่ผมใช้คือ ให้ ChatGPT เป็นคนอัปเดตไฟล์ PROJECT.md ให้เองหลังจากทำ feature เสร็จ เช่น

"ช่วยเพิ่ม section สำหรับฟีเจอร์ Apply Tracking ที่เพิ่งทำเสร็จเมื่อกี้ลงไปใน PROJECT.md ด้วย"

แบบนี้เวลาผมกลับมาทำงานวันถัดไป ก็เหมือนมีบันทึกย่อพร้อมให้เริ่มทำงานต่อทันที


แล้วเรื่องความปลอดภัยล่ะ?

นี่เป็นสิ่งที่ผมระวังมาก เพราะบางโปรเจกต์เป็นของบริษัทหรือมีข้อมูลที่ต้องปกปิด

ผมจัดการความเป็นส่วนตัวยังไง:

  1. ปิดการแชร์ข้อมูลกับ OpenAI
    ไปที่ ChatGPT → Settings → Data Controls แล้วปิด Improve the model for everyone

  2. ระวังไม่ใส่ข้อมูลสำคัญใน zip
    ใช้ .chatpackignore เพื่อไม่ให้ zip พวก .env, API key, customer data หรือ credentials ต่าง ๆ เข้าไป

  3. ใช้แค่ environment local
    สำหรับพวกไฟล์ config ผมมักจะเก็บไว้เฉพาะในเครื่อง ไม่รวมไว้ใน repo ด้วยซ้ำ


สรุป

ถ้าคุณใช้ ChatGPT อยู่แล้ว ลองใช้แนวทางนี้ดูครับ:

  • เขียน PROJECT.md ช่วยให้ AI เข้าใจ context
  • zip เฉพาะไฟล์ที่จำเป็นด้วยเครื่องมือแบบ chatpack
  • เริ่มต้นทุกวันด้วย context ที่พร้อมใช้งาน

และที่สำคัญ...คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงขึ้น เพื่อให้ได้ AI Agent ที่รู้จักคุณมากขึ้น — แค่ใช้ ChatGPT ให้ “ฉลาดขึ้น” ก็พอแล้ว


หากใครสนใจลอง chatpack เข้าไปดูได้ที่
🔗 https://github.com/uatthaphon/chatpack

ผมเขียนให้ใช้ได้ง่าย และรองรับทุกคนที่ใช้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยในงานแบบจริงจังครับ

Top comments (0)